|
อัพเกรดอะไร เห็นผลที่สุด โดย...อ. ไมตรี ทรัพย์เอนกสันติ อัพเกรดอะไร เห็นผลที่สุด การอัพเกรด (Upgrade) คือการปรับปรุงชุดเครื่องเสียงของเราให้มีเสียงดีขึ้น ซึ่งมีอยู่หลายแนวทางได้แก่ 2. ติดตั้งให้ถูกต้อง เปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ เป็นวิธีการที่มั่นใจได้ข้อหนึ่งคือ คุณเสียเงินแน่ ไม่ว่าจะเปลี่ยนอุปกรณ์เสริมข้างเคียง(accessories) หรืออุปกรณ์หลัก เช่น เครื่อง, ลำโพง ปัญหาคือ เปลี่ยนส่วนไหนที่จะเห็นผลที่สุด แน่นอน ต้นน้ำสำคัญที่สุด ต่อให้ส่วนต่อๆมาจนถึงปลายน้ำดีแค่ไหน ถ้าต้นน้ำเป็นน้ำเน่า ก็ป่วยการ ใช้ท่อชั้นหนึ่ง, เครื่องปั๊มชั้นเยี่ยม, บ่อเก็บน้ำสุดยอด สุดท้ายก็แค่ นำพา “น้ำเน่า” มาสู่บ่อได้อย่างเน่าไม่ขาดตกบกพร่องเท่านั้น(เน่าบริสุทธิ์!) อย่างไรก็ตาม แย่หน่อยตรงที่ปัจจุบัน อุปกรณ์ต้นน้ำซึ่งได้แก่ เครื่องเล่น CD, เครื่องเล่นจานเสียง, จูนเนอร์, MEDIA SERVER หรือ การนำเครื่องเล่น Bluray หรือ DVD มาฟัง CD อุปกรณ์เหล่านี้ทำมาค่อนข้างโอเค รุ่นหน่อมแน้มสุด ก็ยังพอฟังได้, รับได้ ครั้นจะเขยิบคุณภาพให้ดีขึ้นจะพบว่า ต้องเปลี่ยนใหม่เป็นเครื่องใหม่ที่แพงขึ้นเป็นเท่าๆตัว เช่น เครื่องเล่น DVD/Bluray รุ่นประหยัดสุด เอามาฟัง CD ถ้าจะให้เสียง, มิติดีขึ้นสัก 10% ต้องจ่ายถึง 1 เท่าตัว ถ้าจะดีขึ้นสัก 25% ต้องจ่ายถึงร่วม 19 เท่า ถ้าจะดีขึ้น 100% ต้องจ่ายถึง 113 เท่า(กรณีดีขึ้น 25% ขึ้นไปต้องเป็นเครื่องเล่น CD โดยตรงแล้ว) ถ้าจะดีขึ้นเป็น 110% ต้องจ่ายถึง 700 เท่า ดีขึ้น 115% ต้องจ่าย 1400 เท่า เราก็ต้องเลือกว่า จากเสียง(มิติ)ที่ฟังอยู่ปัจจุบัน อยากให้ดีขึ้นอีกสักกี่เปอเซนต์ ซึ่งถ้าจะให้เลือก อย่างน้อยควรสัก 25% อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับงบประมาณและความพอใจ แต่เชื่อเถอะครับ การเพิ่มคุณภาพให้แหล่งรายการ มีผลอย่างที่คุณนึกไม่ถึงเลย ไม่แปลกที่ผมจะแนะนำให้คนเล่นเครื่องเล่น CD/SACD ระดับ 9.3 หมื่นบาท เช่น DENON 2010 กับชุดสเตอริโอ 2.1 CH SOKEN ST-15(2,290 บาท) ซึ่งชุด ST-15 เสียงโอเคมากๆเลย มาป้อนด้วย 2010 มันก็คือสวรรค์ สังเกตว่า พอไต่ระดับความแพงของเครื่อง CD ขึ้นไปๆ จะพบว่า ต้องจ่ายอีกมหาศาลเพื่อดีขึ้นนิดเดียว เรียกว่า Diminishing Return ในกรณีของเครื่องเล่นจานเสียง มันเป็นคนละเรื่อง คนละเงื่อนไขไปเลย เนื่องจาก บุคลิกเสียงของแต่ละหัวเข็ม, แต่ละอาร์ม, แต่ละส่วนรองจาน, แต่ละระบบขับเคลื่อน/แท่น, แต่ละภาครับจานเสียง(PHONO EQ) จ่างกันได้นับไม่ถ้วน ทั้งบุคลิกเสียงและราคา จึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะหาตัวตนที่แท้จริงของระบบเล่นจานเสียงของคุณ บางคนอาจแย้งว่า จานเสียงอัพเกรดได้มันส์ที่สุด เพราะเปลี่ยนอะไรก็มีผลหมด ก็จริงครับ แต่ส่วนใหญ่ เรื่องของจานเสียง เรากำลังเล่นกับกลไก(mechanical), การสั่น(vibration), การปรับความต้านทาน(phone equalizer) 2 อย่างแรก ผลที่ได้จะเอาแน่ไม่ได้ มันแกว่ง ไม่นิ่ง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขแวดล้อมอื่นๆที่มากระทบมันว่ามากน้อยแค่ไหย ฉับไวแค่ไหน ช่วงความถี่ใด ถ้าฟังดีๆจะจับออกว่า บุคลิกเสียง, มิติเสียง โลเลตลอดเวลา การจะปรับเปลี่ยนอะไรเพื่อการอัพเกรด อาจได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่เสถียร มักได้อย่าง เสียงอย่าง เสมอ ดูเผินๆเหมือนง่าย แค่เปลี่ยนหัวใหม่หาที่ได้เสียงถูกหูก็จบ จริงๆจะได้บางอย่าง บางเวลา บางเงื่อนไข แต่จะเสียบางอย่างหรือหลายอย่างไปเสมอ นี่คือเหตุผลที่นักเล่นจานเสียงบางคนมีหลายๆอาร์ม หลายๆหัว บางคน หลายๆเครื่องเล่นด้วยซ้ำ หรือต้องหาภาค phone EQ ที่ปรับค่าต่างๆได้(เพื่อปรับสุ้มเสียง) พูดง่ายๆ ถ้ากระโดดไปเล่นจานเสียงเมื่อไร คุณจะอยู่ไม่สุข วนเวียนในวังวนทันที ในกรณีของการดาวน์โหลดเพลงจากเวบไชต์ มีความพยายามผลักดันการดึงเพลงจากเวบไซต์ว่านี่คือ สุดยอดแหล่งรายการ บางเวบไซต์(ลิขสิทธิ์) เลือกคุณภาพการบันทึกได้ในอัลบั้มเดียวกัน เช่น ระดับ MP3, ระดับ CD, ระดับ SACD, ระดับ HD (ได้ถึง 24 บิท/196 kHz) โดยคิดค่าดึงเพลงราคาต่างๆกันไป ในนิตยสารต่างประเทศอย่าง HiFi NEWS (ของอังกฤษ) ถึงกับเปิดคอลัมน์วิจารณ์เพลงที่ดึงจากเวบในรุป HD SOUND มีการแสดงกราฟเสียงอันหนึ่ง คอลัมน์นี้เปิดมาเป็นปีแล้ว ผมอ่านๆดู วิจารณ์แต่ละเพลงไม่กี่บรรทัด, สั้นมาก ไม่ได้พูดในแง่มิติเสียง, ทรวดทรงเสียง(3D) อย่างไรเลย เป็นอย่างนี้ตลอดมา เช่นเดียวกับการวิจารณ์ เครื่องเล่น MEDIA ประเภทดึงเพลงจากเวบไซต์มาฟัง, มาเก็บในฮาร์ดดิสก์(HDD) ของนิตยสารต่างประเทศหลายๆฉบับก็วิจารณ์เรื่องสุ้มเสียงไม่ถึงกึ๋นส์ โดยเฉพาะเรื่องมิติเสียง, ทรวดทรงเสียง เอาแต่พูดบรรยายว่า สมจริง, น่าตื่นเต้น, ตื่นตะลึง, เหมือนมาเล่น/ร้องอยู่ในห้อง ฯลฯ ไม่ได้ฟันธงเป็นฉากๆซอยย่อยแต่ละแง่มุมของเสียง เหมือนต้องการหลีกเลี่ยง ผมมีโอกาสฟังการสาธิตระบบดาวน์โหลดเพลงจากเวบไซต์อย่างนี้ในบ้านเรา 3-4 ครั้ง เรียนตรงๆว่า “รับไม่ได้” มีแต่ชัด แต่ไร้ซึ่งทรวดทรง, เวทีเสียงตื้น-ลึก การสอดใส่อารมณ์ ความผ่อนคลาย ความสมจริงแบบ HOLDGRAPHIC ขนาดบางชุด เครื่องดาวน์โหลดล้านกว่าบาท! กับชุด 2-3 ล้านบาท(จนถึงทั้งหมด 20 กว่าล้านบาทก็มี) สาเหตุก็เพราะ ระบบเก็บบันทึกของเวบไซต์ใช้คอมพิวเตอร์ การปล่อยผ่านเวบไซต์ลงอินเตอร์เน็ทก็คอมพิวเตอร์ การดึงมาเก็บมาฟังก็น้องๆคอมพิวเตอร์(แม้จะอยู่ในรูปเครื่องเสียง) ผมเคยบันทึกจากเครื่องเล่น CD T+A D10 (หลอดล้วน) ราคาเกือบ 4 แสนบาท ใช้ตัวบันทึกระดับอาชีพของ DENON PROFESSIONAL ราคา 7 หมื่นกว่าบาท บันทึกอย่างพิถีพิถันระดับเทพ ลงการ์ด SD/USB ยังต้องมานั่งฟังทิศทางเส้นฟิวส์ในตัว DENON 7 ตัวฟิวส์ แยกสายต่างๆที่พันมัดอยู่ด้วยกัน รีดสายแพที่พับหักศอกให้ตีโค้ง แยกสายให้ลอยตัวไม่แตะกัน ขณะบันทึกต้องไม่ให้มีคอมพิวเตอร์ทั้ง PC, โน๊ตบุ๊ค, Tablet, โทรศัพท์มือถือ, รีโมท, จอ LCD/PLASMA, นาฬิกาควอตซ์(ไฟฟ้า) ทั้งตั้งโต๊ะ/แขวนผนัง/ข้อมือ, ไม่มีกล้องดิจิตอลใดๆ, ไม่มี WiFi, ทิศทางสาย, ขาปลั๊กไฟ ฯลฯ จึงจะได้เสียงจากการ์ด 95% ของจากแผ่น 100% ผมไม่เคยเชื่อว่า ที่เวบไซต์ขายเพลงเหล่านั้นเขาจะรุ้สิ่งเหล่านี้ หรือสนใจที่จะทำสิ่งเหล่านี้ จึงไม่มีทางคาดหวังคุณภาพเสียงที่เขาบันทึกเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ให้เราดาวน์โหลดได้เลย การฟังจากเทป OPEN REEL ปีกว่ามานี้มาความพยายามจะผลักดัน ให้นักเล่นย้อนกลับมาฟังจากม้วนเทปเปิด OPEN REEL มันก็เหมือนการชวนมาขับรถสมัย 60 ปีที่แล้ว แล้วบอกว่า เห็นไหม มันดูหรู, คลาสสิก, นั่งนุ่ม, ไม่หวือหวาดีกว่ารถสมัยใหม่ ผมเคยมีประสบการณ์กับ OPEN REEL มาไม่ใช่น้อย ทั้งระดับชาวบ้านจนถึงระดับสตูดิโอ บอกตรงๆว่า มันอาจให้เสียงอวบอิ่ม, ผ่อนคลาย, สบายรูหู แต่ไม่มีทางเทียบกับแผ่น CD กับเครื่อง CD ดีๆ ติดตั้งดีๆระดับเทพได้เลย ทั้งช่วงความถี่ต่ำและสูงที่แคบกว่า(อย่าลืมว่า แผ่น CD หลายๆอัลบั้มในปัจจุบันบันทึกกันแบบแหกมาตรฐานควบคุม(RED BOOK) ความถี่ต่ำลงได้ถึง 15-16 Hz ก็มี สูงกว่า 20 kHz ก็เยอะ ซึ่ง OPEN REEL ไหนก็ทำไม่ได้(แม้จะใช้การบันทึก dbx, Dolby A ช่วยก็ตาม) ด้านการสวิงเสียง(DYNAMIC RANGE) ยิ่งไม่ต้องเทียบ ม้วนเพลง OPEN REEL อาจให้ DYNAMIC RANGE ได้ 60-70 dB, ม้วนมาสเตอร์อาจ 80 dB(โดยบันทึกและเล่นกลับผ่าน dbx, Dolby A) ขณะที่ CD ได้ถึง 90 dB-100dB ที่แน่ๆ ความฉับไวในการสวิงสัญญาณ(TRANSIENT RESPONSE) OPEN REEL ถูกทิ้งไม่เห็นฝุ่น (OPEN REEL จะวูบวาบจาก dbx, Dolby A) รายละเอียดหยุมหยิม(LOW LEVEL DETAIL) ก็เช่นกัน CD กินขาด OPEN REEL มีแต่ความคลุมเครือของหัวโน๊ต ไม่มีเสียงผิวหรือ TEXTURE ของเสียง เวทีเสียงก็เช่นกัน(หรือ STEREO SEPARATION) OPEN REEL อย่างเก่งก็ 60-70 dB(ไม่เสถียรด้วย) ขณะที่ CD 80 dB สบายๆและเสถียรด้วย ถ้าคุณคิดว่า เสียงที่อั้นๆ, ตื้อๆ, คลุมเครือ, ทึบๆ(แม้จะมีแหลม), บ่อยๆที่ได้ยินเสียงซ่า(NOISE) จากเนื้อเทปวูบวาบตามเสียงเพลง(NOISE PUMPING) คือเสียงที่ฟังสบายหู ก็เลือก OPNE REEL มาอัพเกรดชุดคุณได้เลย แต่ผมคนหนึ่งละ ไม่มีวันย้อนกลับไปหาความอัดอั้นตันใจในอดีตแน่ๆ มาถึงวรคคนี้ คงไม่ต้องบอกนะครับว่า อัพเกรดอะไรเห็นผลดีที่สุด แน่นอน ที่เครื่องเล่น CD ผมรู้เลยว่า มีหลายท่านเกิดคำถามภายในใจ โอเคสรุปยึดมั่นกับ CD ถ้าอย่างนั้น เราหาตัวถอดรหัสสัญญาณดิจิตอลเป็นอนาลอก ฝั่ง DAC มาเพิ่มภายนอกจะดีไหม คุ้มไหม ผมเคยลองเปลี่ยน DAC ราคา 5,500 บาท (NPE) เป็น DAC ฝรั่งยี่ห้อดัง 5 หมื่นบาท(ร่วม 10 เท่า) เสียงดีขึ้น 8% เปลี่ยนเป็น DAC ญี่ปุ่นยี่ห้อดัง(130,000 บาท)(กว่า 20 เท่า) เสียงดีขึ้น 10% เคยฟังเครื่องเล่น CD PLAYER Mark Levinson No.39(300,000 บาท)(DAC upsock ถ้าจำไม่ผิด 360 MHz) เทียบกับต่อเข้า DAC ของ Marrk Levinson เอง ราคาถ้าจำไม่ผิด 700,000 บาท เครื่องขนาดเพาเวอร์แอมป์ 250W+250W(class AB) เสียงดีขึ้น 40% แต่ผมแค่เอาปรี DUAL MONO PREAMP ของ PHD(ทำในเมืองไทย) ราคาแค่ 24,000 บาท ต่อคั่นจากเครื่องเล่น CD ไปปรี(หรืออินทริเกรทแอมป์) เสียง/มิติ ดีขึ้น 100%(บางชุดเกิน 100% ด้วย!)(ขนาดใช้ CD PLAYER ระดับ 270,000 บาท) แล้วอย่างนี้ ยังจะฝากความหวังการอัพเกรดไว้ที่ DAC กันอีกไหม? สำคัญที่สุด จะบอกอะไรให้ การอัพเกรดที่ดีที่สุดคือ การปรับปรุงการติดตั้งชุดเครื่องเลียงของคุณให้ถูกต้อง ตัดรากเจ้าแห่งปัญหาและก่อปัญหา ป้องกันปัญหา ไม่สร้างปัญหา ซึ่งมีแต่เทคนิคร่วม 100 ข้อ ถ้าจะพูดก็อีก 2 ชั่วโมง หรืออีก 1 บทความเต็มๆ ถ้าคุณยังละเลยสิ่งเหล่านี้ ก็ป่วยการที่จะมานั่ง เสียเงินอัพเกรด เปลี่ยนโน่นนี่ มีแต่วกวน ติดในวังวน สับสน หาทางออกไม่พบ เป็นเหยื่ออันโอชะของพ่อค้า หรือแม้กระทั่งเป็นนักวิจารณ์ที่หูหนวกตาบอดก็เท่านั้นเอง คนตาบอดจูงคนตาบอด www.maitreeav.com |